มะรุม สรรพคุณทางยาจากตำรา
เนื่องจากสรรพคุณที่มีมากมายและหลากหลายของมะรุม ดังนั้นจึงได้จัดหมวดหมู่สรรพคุณให้ดูง่ายขึ้นดังนี้
- การฆ่าเชื้อ
- สารสกัดเอทานอลจากมะรุม สามารถฆ่าเชื้อราบางชนิดได้ เช่น
- Trichophyton rubrum
- Trichophyton mentagrophytes
- Epidermophyton floccosum
- Microsporum canis
- สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้
- สามารถฆ่าเชื้อจุลลินทรีย์ได้
- การรักษาโรคและบรรเทาอาการ
- โรคขาดสารอาหารในเด็กที่มีอายุระหว่าง แรกเกิดถึง 10 ขวบ
- ช่วยลดระดับน้ำตาลได้ จึงช่วยบรรเทาอาการผู้เป็นโรคเบาหวาน
- เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ทำให้ความเข้มข้นของเลือดลดลง จึงมีส่วนช่วยให้ความดันเลือดลดลงเช่นกัน ดังนั้นจึงช่วยรักษาโรคความดันได้
- ช่วยรักษาโรคหวัด แก้ไอ และบรรเทาอาการไอเรื้อรัง
- ช่วยรักษาโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น
- โรคภูมิแพ้
- โรคหอบหืด
- โรคโพรงจมูกอักเสบ
- ใช้บรรเทาโรคตาได้ทุกโรค
- น้ำมันมะรุมสามารถฆ่าเชื้อราบนหนังศีรษะ ลดอาการคันหนังศีรษะ และลดอาการผมร่วงได้
- ช่วยบรรเทาโรคไขข้อ ปวดตามข้อ และกระดูกอักเสบ
- การบำรุง
- บำรุงผิวบรรณให้อ่อนนุ่ม ผิวไม่กร้าน เนื่องจากมะรุมมีสารต้านอนุมูลอิสระ
ผลการวิจัยมะรุมโดยมหาวิทยาลัยมหิดล
ผลการวิจัยนี้มาจาก คณาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะทดลองระดับเซลล์และสัตว์ พบว่า มะรุม(Moringa)นั้นมีฤทธิ์ ที่น่าสนใจซึ่งออกฤทธิ์ในทางบวกกับร่างกายของสิ่งมีชีวิต เช่น ลดความดันเลือด ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดคอเลสเตอรอล ต้านการอักเสบ ป้องกันตับอักเสบ ลดระดับน้ำตาล ต้านออกซิเดชัน ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านการเกิดเนื้องอก และต้านมะเร็งฤทธิ์ของมะรุมจากผลการวิจัยในสัตว์ทดลอง
สรรพคุณมะรุมที่ได้จากการทดลองกับหนู 9 อย่าง มีดังนี้
- ลดความดันเลือด - จากการทดลองสามารถลดความดันเลือดของหนูแรทและสุนัข
- ต้านการเกิดเนื้องอกและมะเร็ง - สารสกัดจากมะรุมสามารถลดจำนวนหนูที่เป็นมะเร็งผิวหนังได้
- ลดระดับคอเลสเตอรอล - สามารถลดระดับคอเลสเตอร์รรอลในหลอดเลือดได้ หลังจากป้อนอาหารที่มีไขมันสูงแก่หนูทดลอง
- ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร - หลังจากให้ยาแอสไพรินแก่หนูทดลองเพื่อกระตุ้นให้เกิดแผลภายในกระเพาะอาหาร พบว่าสารสกัดจากมะรุมสามารถต้านและป้องกันการเกิดแผลกระเพาะอาหารได้
- ป้องกันการอักเสบของตับ - หลังจากให้ยาพาราเซตามอล และยาไรแฟมพิซินแก่หนูทดลองเพื่อกระตุ้นการอักเสบของตับ พบว่าหลังจากป้อนสารสะกัดจากใบ และดอก สามารถยับยั้งการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
- ต้านออกซิเดชัน - สารสะกัดจากใบ ดอก และราก สามารถต้านอนุมูลอิสระและสามารถกำจัดอนุมูลอิสระได้
- ต้านเชื้อแบคทีเรีย - จากการทดลอง สารสกัดจากใบ ดอก เมล็ด เปลือกต้น และเปลือกราก สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้หลายชนิด
- ลดระดับน้ำตาล - สารสกัดจากใบและเปลือกลำต้นสามารถลดระดับน้ำตาลในหนูที่เป็นโรคเบาหวานได้
- ต้านการอักเสบ - ผลการวิจัยพบว่า การอักเสบภายในทางเดินหายใจของหนูตะเภาลดลง เพื่อได้รับสารสกัดจากมะรุม
นอกจากมะรุมจะมีผลดีกับร่างกายแล้ว ยังมีผลการทดลองที่แสดงถึงผลค้างเคียงของมะรุมอีกด้วย
ผลค้างเคียงของมะรุม
มะรุมมีผลค้างเคียงเป็นพิษระดับเซลล์และสัตว์ทดลองดังนี้
- เมื่อป้อนสารสกัดจากเมล็ดให้กนูทดลองที่มีการผสมพันธุ์แล้ว พบว่าทำให้หนูทดลองเกิดอาการแท้งได้
- เมื่อป้อนสารสกัดจากรากมะรุมให้หนูทดลอง จะมีผลทำให้ทารกฝ่อ ในช่วงเวลาตั้งครรภ์ระยะสุดท้าย
- เมื่อป้อนสารสกัดจากเมล็ดให้กระต่าย มีผลให้เม็ดเลือดแดงของกระต่ายทดลองเกิดการรวมตัวกัน
- เมื่อป้อนมะรุมดิบให้แก่หนูทดลองเป็นเวลาทั้งหมด 5 วัน พบว่า มีผลทำให้ความอยากอาหาร การใช้โปรตีน และการเจริญเติบโตของหนูลดลง ต่อมไทมัส และม้ามฝ่อลง แต่กระเพาะอาหาร หัวใจ ไต ลำไส้ ปอด ตับอ่อน และตับมีขนาดใหญ่มากขึ้น
ทั้งนี้การรับประทานมะรุม นอกจากจะได้ประโยชน์จากมะรุมแล้ว ยังต้องระวังเรื่องการแท้งลูกในสตรีที่มีครรภ์ด้วย จากการทดลองที่พบการแท้งลูกของหนูทดลอง
มะรุม คุณค่าทางโชนาการและคุณค่าทางอาหาร
สำหรับคุณค่าของมะรุม เราจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ คุณค่าทางโภชนาการ และคุณค่าทางอาหาร ซึ่งสาเหตุที่ต้องแบ่งออกเป็นสองประเภทเนื่องจาก การแบ่งประเภททางอาหารเราจะนำคุณค่าทางอาหารของมะรุมมาเทียบกับคุณค่าทางอาหารของนมและผักผลไม้ชนิดอื่นที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ส่วนการแบ่งตามคุณค่าทางโภชนาการนั้น เราจะแจกแจงรายละเอียดของมะรุมว่า มีส่วนประกอบของโปรตีน ไขมัน ใยอาหาร วิตามิน เท่าไหร่บ้าง ดังรายการด้านล่างครับคุณค่าทางโภชนาการ
สำหรับคุณค่าทางโภชนาการของใบมะรุมปริมาณ 100 g. ซึ่งสำรวจโดยอินเดียในปีพ.ศ.๒๕๓๗ มีดังนี้
- พลังงาน(Energy) 26 cal.
- โปรตีน(Protein) 6.7 g.
- ใยอาหาร(Dietary Fiber) 0.1 g.
- ไขมัน(Lipids) 4.8 g.
- คาร์โบไฮเดรต(Carbohydrate) 3.7 g.
- วิตามินเอ(Vitamin A) 6,780 μg.
- วิตามินซี(Vitamin C) 220 mg.
- แคโรทีน(Carotene) 110 μg.
- แคลเซียม(Calcium) 400 mg
- ฟอสฟอรัส(Phosphorus) 110 mg.
- เหล็ก(Ferrum) 0.18 mg
- แมกนีเซียม(Magnesium) 28 mg.
- โพแทสเซียม(Potassium) 259 mg.
คุณค่าทางอาหาร
- วิตามินเอ(Vitamin A)ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงสายตามากกว่าแครอตถึง 4 เท่า
- วิตามินซี(Vitamin C)ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันโรคหวัด มากกว่าส้มถึง 7 เท่า
- แคลเซียม(Calcium)ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงกระดูกและฟัน มากกว่านมสด 4 เท่า
- โพแทสเซียม(Potassium)ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงสมองและระบบประสาทมากกว่ากล้วยถึง 3 เท่า
- โปรตีน(Protein) ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย มากกว่าโยเกิร์ต 2 เท่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น